ณัฐภัทร เล่าให้ฟังว่า เรียนจบมาจากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา แรงจูงใจที่ทำให้ผมได้เข้ามาศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย มาเป็นลูกพระจอม เกิดจากรุ่นพี่ในสมัยเรียนมัธยม การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยไม่ยากอย่างที่คิด…มันมีวิธีที่จะช่วยทำให้เราเรียนได้อย่างมีความสุข ผมมองว่าการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมันคือสังคมใหม่ต้องรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ ซึ่งมันก็คือการเดินทางที่เตรียมความพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ เพราะมันเป็นเหมือนกับตัวทดสอบว่า “คุณนั้นพร้อมที่จะผู้ใหญ่แล้วหรือยัง มีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา ละเอียดรอบคอบเพียงพอไหม และสามารถทนต่อแรงกดดันได้หรือเปล่ามีสัมมาคารวะและรู้จักกาลเทศะต่อปฏิบัติตัวให้พอเหมาะพองามอย่างไร” ทุกอย่างนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ได้จากการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยทั้งนั้น แต่มันก็ไม่ใช้ว่าจะยากอย่างที่คิด การใช้ชีวิตแบบง่ายๆ โดยพยามมีวินัยกับตัวเองก็เป็นอีกคำตอบหนึ่งที่ใครก็สามารถทำได้ โดยการกระทำนั้นไม่ก่อความเดือนร้อนให้กับคนอื่น และถ้ายังสามารถสร้างรอยยิ้มให้กับผู้อื่นหรือครูอาจารย์ได้นั้นคือสิ่งที่ดีเลิศ
การหาเพื่อนก็เป็นอีกสิ่งสำคัญ เพื่อนๆ ต่างก็จะช่วยกันประคับประคองช่วยกันเรียนช่วยกันแชร์และเล่าเรื่องราวต่างๆ คอยช่วยในยามลำบากแต่ก็ยังเคารพกันและมีพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน การจะให้อยู่รอดครบ 4 ปี เพื่อนๆ อาจได้เรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น (1) ลองทำกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับตนเอง ส่วนตัวผมเข้าเป็นสมาชิกของสโมสรนักศึกษาคณะอุตสาหกรรมเกษตร ในช่วงของการเป็นนักศึกษาชั้นปีที่1 ในฐานะประธานนักศึกษาชั้นปีที่ 1 และปัจจุบันก็ผ่านมาแล้ว 2 ปีในตอนนี้ผมได้รับตำแหน่งนายกสโมสรนักศึกษา จากการคัดเลือกจากนายกสโมสรนักศึกษารุ่นก่อนๆ และเคยได้รับเกียรติเป็นผู้นำเชียร์ของคณะอุตสาหกรรมเกษตร เคยได้ทำค่ายอาสาเลี้ยงอาหารและจัดกิจกรรมให้กับเด็กๆในโรงเรียนชนบท ได้รับเกียรติบัตรเรียนดีมาตั้งแต่ปี 1, 2 และล่าสุดคือปี 3 (2) การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีรุ่นพี่กับรุ่นน้อง และต้องรู้จักวิธีการเข้าหาผู้อื่นก่อน เพื่อเรียนรู้การปรับตัวให้กับสังคมใหม่ได้อย่างมีความสุข การปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย ผมอยากจะแนะนำว่า การปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ได้สอนอะไรหลายๆ อาทิ ในแต่ละคนจะมีความคิดที่แตกต่างกัน มีการมองโลกในแง่ที่ไม่เหมือนกัน มีความชอบมีรสนิยมที่ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างก็มีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง แต่เราจะต้องหาจุดที่เราจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ให้เจอ หากหาจุดที่ทุกคนต่างสบายใจกันเจอแล้วก็จะสามารถอยู่ในสังคมแบบนี้ได้
(3) การมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และที่สำคัญคือการมีกาลเทศะต่อส่วนรวม เพราะเราจะต้องคำนึงถึงการอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท (4) การแบ่งเวลาให้เป็น เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญมากๆ เพราะการที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยให้รอดครบ 4 ปี นั้น การแบ่งเวลากับความรับผิดชอบ เป็นเหมือนกับหัวใจ (5) กิจกรรม สอนให้คนทำงานเป็น วางแผนและรู้จักแก้ปัญหา หลายๆ กิจกรรม มจพ. นั้นเป็นสิ่งที่คอยสร้างเราฝึกเราให้รู้จักแบ่งเวลามีความรับผิดชอบ หากเรารู้จักแบ่งเวลาและตั้งใจเรียนก็ไม่มีทางที่จะกระทบผลการเรียนแน่นอน เพราะเชื่อว่า ” การเรียนทำให้คนมีงานทำ และกิจกรรมทำให้คนทำงานเป็น ”
สิ่งที่ผมประทับใจ เป็นกิจกรรมที่มีผลกับชีวิตการเรียนและกิจกรรมสร้างสรรค์ คือการที่ได้เข้ามาอยู่ในสโมสรนักศึกษาคณะอุตสาหกรรมเกษตร ในฐานะที่ผมเป็นผู้นำและจัดการกิจกรรมต่างๆ ภายในคณะให้เกิดขึ้น ตำแหน่งที่ผมได้นั้นไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าผมนั้นเก่งหรือว่ามีอำนาจที่จะทำอะไรก็ได้ ในทางกลับกันมันเป็นเหมือนแรงผลักดันที่เราจะต้องพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดโดยให้ทุกคนพึงพอใจกับมันในทุกๆกิจกรรม การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมันได้สอนอะไรหลายๆ อย่างมันเป็นยิ่งกว่าการเรียนหนังสือให้จบมาได้คะแนนดีๆ มันเป็นเหมือนกับบทเรียนบทหนึ่งที่ไม่ได้มีเขียนเอาไว้เป็นตำราเรียน แต่เป็นเหมือนกับเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องเขียนเองลองเดินเองเกี่ยวกับการใช้ชีวิตยังไงกับสังคมที่โตขึ้นใหญ่ขึ้น ได้ทำตามความฝันที่อยากจะทำในแบบที่ควรจะเป็น สอนให้เราพร้อมที่จะสามารถโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ และพร้อมจะออกไปสานต่ออุดมการณ์และสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ
การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยก็ไม่ยากอะไรเลย เพียงเราต้องปรับตัวและมองว่าการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยสร้างความสุข การทำกิจกรรมกับการเรียนต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ดี และจะทำให้อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยให้รอดครบ 4 ปี และประสบความสำเร็จได้ในอาชีพที่อยากทำ